คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที (IT ย่อจาก information technology) หมายถึงเทคโนโลยีสำหรับการประมวลผลสารสนเทศ ซึ่งครอบคลุมถึงการรับ-ส่ง การแปลง การจัดเก็บ การประมวลผล และการค้นคืนสารสนเทศ ในการประยุกต์ การบริการ และพื้นฐานทางเทคโนโลยี สามารถแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ คอมพิวเตอร์, การสื่อสาร และข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซึ่งในแต่ละกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกมากมาย องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์) เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเครือข่าย (การสื่อสาร) โดยมีการส่งข้อมูลต่างๆ ไปยังเครื่องลูก (ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย)

ในบางครั้งจะมีการใช้ชื่อว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information and communications technology ย่อว่า ICT)
บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ตำนานมังกร



1.ตำนานมังกรของจีนนั้น นับว่าเก่าแก่กว่าประเทศอื่นๆ คือราวสี่พันกว่าปีมาแล้วโดยในสมัย พระเจ้าชุน (2255-2205 ปีก่อน ค.ศ.) ได้เกิดอุทกภัยจากแม่นํ้าฮวงโหผู้คนล้มตายมากมาย พระองค์จึงสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อ ยู้ ไปแก้ไข แม้ว่ายู้จะเพิ่งแต่งงานได้เพียง 4 วัน แต่เขาก็ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเลยถึง 33 ปี บุกป่าฝ่าเขา เผาป่าขุดคลอง กระทั่งสามารถระบายนํ้าท่วมทั้งหมดลงสู่ทะเลได้ เมื่อพระเจ้าชุนสิ้นพระชนม์ ราษฎรจีนทั้งปวงจึงพร้อมใจกันให้ยู้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้า อู๋เต้ (2205-2197 ปี ก่อน ค.ศ.) ต้นราชวงศ์เหีย

ด้วยความยิ่งใหญ่ของยู้ ทำให้กล่าวกันว่า จริงๆ แล้วกำเนิดของยู้นั้นเป็นพญามังกร ดังนั้น จึงถือกันว่าฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาของจีนนั้นก็คือมังกรกลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุนี้สัญลักษณ์ของฮ่องเต้ จึงใช้รูปมังกรแต่จะผิดแผกจากมังกรธรรมดา คือมี 5 เล็บ และใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำองค์ฮ่องเต้เป็นหลัก

ใน เมืองจีนเราจึงมักได้เห็นรูปมังกร ปรากฏประดับประดาอยู่ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะบนผ้าม่านที่ปักอย่างวิจิตร บนตราประทับ หรือบนแจกันตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป

มังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พิน อิน: l�ng) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง

เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย

มังกร จีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและ ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร



กำเนิดมังกรจีน

ตาม ความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย

เนื่อง จากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น

ตาม ตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป

ตาม ตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น “โป๊ย-ก่วย” หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีก ด้วย

ใน หนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้า สวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่ง สัตว์ทั้งปวง

ลักษณะของมังกรจีน

ลักษณะของมังกรจีนที่ เกิดจากจินตนาการคนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของ มังกรจีนในงานด้านจิตกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน คือ

ลักษณะหัวของมังกร คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้

ลักษณะหนวดของมังกร คล้ายกับหนวดของมนุษย์

ลักษณะเขาของมังกร คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

ลักษณะตาของมังกร คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต

ลักษณะหูของมังกร คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น

ลักษณะคอของมังกร คล้ายกับคองู

ลักษณะท้องของมังกร คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์

ลักษณะเกล็ดของมังกร คล้าย กับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆ

ลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ

ลักษณะฝ่าเท้าของมังกร คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ

ลักษณะของมังกรจีน สัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่จีนให้ความเคารพนับถือ ลักษณะของมังกรเกิดจากจินตนาการโดยการรวมเอาลักษณะของสัญลักษณ์เผ่าต่างๆมา รวมกัน มีความแตกต่างกันตามคติความเชื่อถือและการประดิษฐ์ของช่าง มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้

มังกรมีเขา หรือ หลง เป็นลักษณะของมังกรที่มีเขาเหมือนกับกวางดาว ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุดสามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ซึ่งจะชำแหละเนื้อไว้กินและหนังจะส่งขายให้กับประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปทำเป็นซับในของเสื้อเกราะญี่ปุ่นซึ่งหนังกวางนั้นเป็นสินค้าส่งออก ที่มีความสำคัญของไทยมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

มังกรมีปีก หรือ หว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรฝรั่งที่สามารถพ่นไฟ ได้ คนฝรั่งนิยมที่จะนำมังกรมีปีกนี้มาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัว แทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยข้าวต้ม

มังกรสวรรค์ หรือ เทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า คนจีนมีความเชื่อกันว่า มังกรเทียนหลงนี้เป็นมังกรที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของ เทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย

มังกรวิญญาณ เฉียนหลง หรือ หลีเฉี่ยวหลง เป็นมังกรที่บันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและมนุษยชาติของชาว จีน แต่โบราณ มังกรหลีเฉี่ยวหลงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย

มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือ ฟูแซง เป็นมังกรบาดาล มังกรฟูแซงนี้น่าจะเป็นคติของอินตู้หรืออินเดียมากกว่าของจีน ซึ่งชาว กรีก โบราณเองก็มีความเชื่อกันในเรื่อง “มังกรบาดาล” เช่นกัน ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรบาดาลนี้เป็นความเชื่อและคติที่เก่าแก่มาก

มังกรขด ไม่มีฝอย เป็นมังกร “หด” ธรรมดา

มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน

มังกรบ้าน หรือ ลี่หลง เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น

พญามังกร คือ มังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก(ตัง) ,ใต้(น้ำ) ,ตะวันตก(ไซ) และเหนือ(ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก

และ โอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต

มี การบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า “มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ”



2.มังกรเก่าแก่ตัวถัดมาเห็นจะได้แก่ มังกรในตำนานของชนสุเมเรียนแห่งนครบาบิโลน ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 2,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย

ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ อีอา (EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับ ติอาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย แถมยังม้วนหางของเธอขึ้นไป พาดไว้บนห้วงจักรวาลกลายเป็น ทางช้างเผือก (MILKY Way) ที่เราเห็นสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าทุกวันนี้




3.มังกรตัวต่อมาปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิลของชนฮีบรู กล่าวคือเมื่อพระเจ้า (GOD) ทรงสร้างโลก ในวันที่ 5 พระองค์ได้เสกมังกรทะเลขึ้นมาชื่อว่า เลเวียธาน (LEVIA-THAN) เป็นอสุรสัตว์ ที่มีพละกำลังน่าเกรง ขาม อาวุธใดๆ ไม่อาจระคายเคืองร่างของมันได้ แม้ว่ามันอาจก่อความเดือดร้อนให้แก่ มนุษย์บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้เอาใจใส่กับมันเท่าใดนัก เพราะพระองค์ ตั้งพระทัยที่จะสังหารมันในวันสุดท้ายแห่งพิภพ (THE JUDGEMENT DAY)!

“ในวัน นั้น พระองค์จะทรงใช้ดาบอันมีศักดานุภาพยิ่งใหญ่ ลงทัณฑ์เจ้ามังกร ซึ่งพยายามหลีกลี้หนีไป และทรงประหารมันในห้วงมหาสมุทร” (จาก Isaiah 27 : 1)

เรื่อง ราวของมังกรในคริสตอาณาจักร ยังมีอีก คือในช่วงศตวรรษแรกหลังจากองค์เยซูสิ้นพระชนม์ ชาวคริสต์หลั่งไหลเข้าไปอยู่ในตะวันออกกลาง ตำนานความเชื่อโบราณหลายเรื่องเลือนหายไป แต่ “มังกร” ยังอยู่ ซึ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก โดยปรากฏในรูปของ”ปิศาจ (DEVIL)”

“ข้า เห็นเทวดาลงมาจากสวรรค์ ในหัตถ์มีกุญแจไขสู่หลุมลึกอันหยั่งไม่ถึง อีกหัตถ์หนึ่งมีโซ่เส้นมหึมา แล้วจับเจ้ามังกรปิศาจล่ามไว้ และทุ่มมันลงไปในหลุมนั้น” (Book of Revelation)

มังกร ในคัมภีร์ไบเบิลของฮีบรู ได้สร้างจินตนาการไว้ให้ชนยุโรปตะวันออกกลาง หลายหมู่บ้าน จนต่างก็มีตำนานมังกร ของตนเองขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่สามในประเทศลิเบีย

ตำนาน นี้กล่าวว่า ได้เกิดมีมังกรยักษ์ใจโหดขึ้นในอาณาจักรที่โรมันครอบครอง สร้างความทุกข์ร้อนแสนสาหัสแก่ชาวบ้าน โดยจะต้องจัดส่งลูกหลานไปสังเวยแก่มันเป็นประจำ กระทั่งถึงคราวของพระธิดาแห่งกษัตริย์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของมัน

และแล้วทหารหาญหนุ่มน้อย คริสเตียนก็ได้ขี่ม้าขาวมาช่วย เขามีนามว่า จอร์จ (George) เมื่อ เผชิญหน้ากับเจ้ามังกรร้าย จอร์จได้ใช้หอกพุ่งเสียบร่าง ของมันจนสิ้นชีพ แล้วลากเอาซากมังกรกลับมา ให้ชาวบ้านได้ทัศนา ความเก่งกาจของจอร์จทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนใจ จากที่เคยศรัทธาในปวงเทพของโรมัน ก็หันกลับมานับถือคริสต์ศาสนากันหมด

ต่อมา เมื่อเกิดสงครามครูเสด เหล่าขุนศึกคริสเตียนที่ไปรบในตะวันออกกลาง ต่างได้รับอิทธิพลจากตำนานของจอร์จ พวกเขาจึงบังเกิดมีกำลังใจฮึกเหิม โดยถือว่าดวงวิญญาณของ จอร์จคงช่วยพิทักษ์ตน เมื่อเสร็จศึกกลับถึงบ้านในอังกฤษ จอร์จจึงได้รับการยกย่องขึ้นเป็นนักบุญเซนต์จอร์จ

ในยุค กลางของยุโรปนั้น บุรุษเพศต่างคลั่งไคล้ในการประพฤติตนเป็นอัศวิน คือจรม้าออกตระเวนผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ เพื่อสร้างวีรกรรม และวีรกรรมใดเล่าที่จะน่าประทับใจ ยิ่งกว่าการได้สังหารมังกรร้ายสักตัวนึง ใครที่เคยอ่านเรื่อง “ดอน กีโฮเต้” ของแชร์วอนเตส คงรู้ดีถึงความบ้าระหํ่านี้

“มังกรจะอาศัยอยู่ในถํ้า มันจะเหินร่อนไปบนนภากาศออกหากิน กรงเล็บของมันคืออาวุธ ประกอบกับอัคคี ที่พวยพุ่งจากปากและจมูกของมัน”




4.มังกรตัวสุดท้ายที่จะเล่าถึงมีชื่อว่า เควทซาลโคลท์ (QUETZALCOATL) อยู่ในตำนานของชนเผ่าแอสเท็กส์ (AZTECS) แห่งนครเตโอติฮัวคัน (คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 8) ในดินแดนอเมริกากลางแถวๆ เม็กซิโก

มังกรของแอสเท็กส์นี่รูปร่างแปลกกว่าของชาติอื่น คือเป็นงูยักษ์ที่มีขน ชนแอสเท็กส์นับถือว่าเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์การเกษตร แต่การสักการบูชาเทพเจ้าของพวกเขานั้นหฤโหดยิ่ง คือสังเวยด้วยมนุษย์เป็นๆ ดังนั้นในแต่ละปี ชนชาตินี้จะทำศึกรุกรานชนเผ่าอื่น เพื่อนำเอาเชลยมาบูชายัญจัดเป็นยุคแห่งการนองเลือดโดยแท้ กระทั่งสุดท้าย ตำนานกล่าวว่า กลุ่มปีศาจได้จับเอามังกรเควทซาลโคลท์มอมเหล้าแล้วนำไปเก็บไว้ใต้สมุทร

ตำนานนี้เองที่ได้ก่อความหายนะ ให้กับชาวแอสเท็กส์ คือเมื่อชนผิวขาวชาวสเปน นำโดย เฮอร์นานโด คอร์เตส มาเยือนดินแดนแถบนี้ในช่วง ค.ศ.1519-21 กษัตริย์ มอนเตซูมา และชาวแอสเท็กส์ต่างก็เชื่อว่าคอร์เตส คือเทพเจ้ามังกร ผู้หวนกลับมาตามที่ตำนานได้ทำนายไว้ จึงยอมศิโรราบแก่กองทหารของคอร์เตส ทำให้สเปนทำทารุณกรรม และขนทรัพย์สินเงินทองมหาศาลของแอสเท็กส์ไป จนสิ้น

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สัตว์ดึกดำบรรพ์



สัตว์ดึกดำบรรพ์ ฉลามเมกาโลดอน



ภาพเปรียบเทียบขนาดเจ้ายักษ์เมกาโลดอน ฉลามขาว ฉลามบาสกิ้งและมนุษย์คับ คนละไซต์กันเลย

แต่ดูจากยุคที่มันอยู่แล้วเนี่ยคาดว่าปัจจุบันนี้มัน น่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้วซินะครับ แต่ก็ไม่แน่นา เพราะมีรายงานการพบเห็นฉลามขาวยักษ์ในปี ค.ศ. 1918 โดยชาวประมงที่พบเห็นฉลามตัวนี้เข้า เรื่องพิศวงที่ตามมาก็คือจากคำบอกเล่าของชาวประมงที่ บังเอิญเห็นมันเข้านั้นกล่าวว่ามันมีความยาวประมาณ 115 ฟุต จากหัวถึงหาง หุ หุ ใหญ่กว่าขนาดที่เคยประมาณกันไว้เสียอีก และแน่นอนครับ ไม่เหมือนฉลามตัวไหนหรือพันธุ์ไหนที่เคยเห็นมาก่อนเล ย

นักสมุทรศาสตร์ยังเคยมีการประมาณเอาไว้ด้วยนะครับว่า ในปัจจุบันยังมีสัตว์ในท้องทะเลที่เรายังไม่รู้จักอี กอย่างน้อยกว่า 50,000 สายพันธุ์ แน่นอนครับว่ารวมเอาชนิดของปลาฉลามเข้าไปด้วย อย่างเช่นฉลามบาสกิ้ง (Basking Shark) หรือฉลามเมกาเมาทธ์ (MegaMouth Shark) ก็ยังเพิ่งมามีการค้นพบเอาในช่วงหลังๆ ของศตวรรษนี้เลยใช่มั๊ยครับ

การที่เมกาโลดอนจะรอดมาได้ 25 ล้านปีก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร (หรือแปลกหว่า ?) จากท้องทะเลที่โอบอุ้มชีวิตในทะเลทั้งมวล ท้องทะเลที่ไม่เคยแห้งเหือด ท้องทะเลที่เป็นสวรรค์สำหรับชีวิตทางทะเล ก็น่าจะพอเป็นไปได้น่ะ
เอ้า! มาต่อกันต่อเลยดีกว่าครับ นักวิทยาศาสตร์และนักสมุทรศาสตร์เค้าว่ากันว่าในตอนน ี้น่ะ ก็ยังมีเจ้าเมกาโลดอนอาศัยอยู่ร่วมโลกกับเราด้วย ไม่ได้สูญพันธุ์หรือหายไปไหนหรอกครับ แต่ว่ามันอยู่ในทะเลที่ลึกเอามากๆ เลยน่ะซี และมันอาจจะกินปลาหมึกยักษ์เป็นอาหารแบบเดียวกันกับป ลาวาฬสเปิร์มก็เป็นได้ หรือไม่ก็ปลาวาฬสเปิร์มเองนั่นแหละที่อาจจะเป็นอาหาร ของมันเอา อิอิ

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เลยมีการตั้งโปรเจ็คทีมขึ้นมาเพื่อ การค้นหาและทำวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานการมีอยู ่ของมัน แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรมากมายน ักหรอกครับ จะมีก็แต่ซากฟอสซิลที่ขุดพบกันเท่านั้น




สัตว์ดึกดำบรรพ์ ไทรันโนซอรัส เร็กซ์



ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tyrannosaurus Rex, Tyrannosaurus = กิ้งก่าทรราช, rex = ราชา เมื่อนำมารวมกันแปลได้ว่า ราชันย์ไดโนเสาร์ทรราช) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ที-เร็กซ์ (T-rex) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ มีถิ่นอาศัยตลอดทั่วตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา ซึ่งกว้างกว่าไดโนเสาร์วงศ์เดียวกัน ไทรันโนซอรัสอาศัยอยู่ในยุคครีเทเซียสตอนปลายหรือประมาณ 68 ถึง 65 ล้านปีมาแล้ว เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์พวกสุดท้ายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนก ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่สามในยุคครีเทเชียส

ไท รันโนซอรัสเป็นสัตว์กินเนื้อ เดินสองขา มีกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ และเพื่อสร้างความสมดุลมันจึงมีหางที่มีน้ำหนักมาก มีขาหลังที่ใหญ่และทรงพลัง แต่กลับมีขาหน้าขนาดเล็ก มีสองกรงเล็บ ถึงแม้ว่าจะมีไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าไทรันโนซอรัส เร็กซ์ แตมันก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในไดโนเสาร์วงศ์เดียวกันและเป็นหนึ่งในผู้ล่าที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ วัดความยาวได้ 13 ม. สูง 4 ม. จากพื้นถึงสะโพก และอาจหนักถึง 6.8 ตัน ในยุคสมัยของไทรันโนซอรัส เร็กซ์ที่ยังมีนักล่าขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆนั้น ไทรันโนซอรัส เร็กซ์อาจเป็นนักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เหยื่อของมันเช่น แฮโดรซอร์ และ เซอราทอปเซีย เป็นต้น ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วไทรันโนซอรัส เร็กซ์เป็นสัตว์กินซาก การถกเถียงในกรณีของไทรันโนซอรัสว่าเป็นนักล่าหรือสัตว์กินซากนั้นมีมานาน มากแล้วในหมู่การโต้แย้งทางบรรพชีวินวิทยา

ไทรันโนซอรัสเป็น ไดโนเสาร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยฐานะไดโนเสาร์กินเนื้อที่ตัวใหญ่ที่สุด ก่อนจะเสียอันดับให้ คาร์ชาโรดอนโตซอรัส และ จิกแกนโนโตซอรัส และ ปรากฏตัวในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น จูราสสิค พาร์ค ไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ ชื่อซู (Sue) เป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12.8 เมตร และความสูงถึงสะโพก 4 เมตร โดยตั้งชื่อมาจากซูฃานนักธรณีวิทยาที่ค้นพบ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Field Museum ที่ชิคาโก ในปี 2549 ซูได้เป็นตัวเอกหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ (Natural History Museum) ชื่อ Night at the Museum ของ ชอน เลวี่ (Shawn Levy) มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องคำสาปให้กลับมีชีวิต ขึ้นมาในตอนกลางคืน




จระเข้ยักดึกดำบรรพ์ ซาร์โค-ซูซุส





จระเข้โบราณรุ่นแรกเริ่มนั้นก็ได้แก่ “เมทรี-โอรินซุส (Metriorhynchus)” ซึ่งดำรงชีพอยู่ใต้ น้ำ มีความยาวไม่มากเท่าไหร่ แค่ประมาณ 3 เมตร ปลายหางบานเหมือนหางปลา แต่ขึ้นมาวางไข่บนบก

อีกตัวหนึ่งที่น่าทึ่งคือ จระเข้ยักษ์ “ซาร์โค-ซูซุส (Sarcosuchus)” จัดว่าเป็นขนาดมหึมาที่สุดของทุกยุค เพราะยาวตั้ง 12 เมตร แบกน้ำหนักปาเข้าไป 10 ตัน ว้าว!

ที่เกริ่นมานั้นเป็นจระเข้รุ่นแรก ญาติห่างๆไกลลิบลิ่วกับจระเข้รุ่นปัจจุบัน

แต่ ที่อยากเอ่ยถึงในวันนี้ก็คือช่วง “ยุคครี-เตเชียส (Cretaceous)” (144 ถึง 65 ล้านปีก่อน) อันถัดจากยุคจูราสสิก และเป็นยุคปลีกย่อยสุดท้ายแห่งมหายุคมีโซโซอิค นั่นก็เพราะต้นตระกูลจระเข้ รุ่นใหม่ทวีจำนวนเพิ่มพงศ์เผ่าขึ้นอย่างมากมายก็ในยุคนี้แหละครับ



ปลาดึกดำบรรพ์ coelacanth ซีลูแคนท์




นักชีววิทยาสัตว์โบราณได้พบซากฟอสซิลของปลาดึกดำบรรพ์ coelacanth ซีลูแคนท์ เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2382 รูปร่างของครีบที่ปรากฏมีความละม้ายคล้ายคลึงกับกระดูกแขนและขาของสัตว์บกมาก จนทำให้นักชีววิทยาหลายคนมีความคิดว่า coelacanth คือบรรพสัตว์ของสัตว์โลกที่มีกระดูกสันหลังทุกชนิด การวัดอายุของซากหินดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า coelacanth ได้เคยมีชีวิตอยู่ในมหาสมุทรเมื่อ 4,000 ล้านปีก่อนนี้ คือในยุค Devonian ก้อนไดโนเสาร์จะเกิดถึง 200 ล้านปี และแถบที่มันอาศัยอยู่มักเป็นทะเลน้ำตื้น ซากฟอสซิลที่ขุดพบในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่า มันมีรูปร่างและขนาดต่างๆ กันตั้งแต่ 2 นิ้ว จนกระทั่งถึง 2 เมตร และได้ดำรงชีพอยู่บนโลกอย่างน้อยก็นาน 60 ล้านปี คือจนกระทั่งถึงเมื่อ 245 ล้านปีก่อนนี้ เมื่อโลกถูกอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนจนทำให้ 95% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกสูญพันธุ์ และนั่นก็หมายความว่า coelacanth ได้สูญพันธุ์ไปด้วย เพราะไม่มีใครพบซากของมันที่มีอายุน้อยกว่า 245 ล้านปีเลย

นกยักษ์ Diatryma ดึกดำบรรพ์



การ ศึกษาซากนกยักษ์ดึกดำบรรพ์ที่บินไม่ได้ ทำให้นักชีววิทยาปัจจุบันรู้ ว่า เมื่อ 50 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นยุค Eocene ในทวีปอเมริกาใต้ มีนก ยักษ์ Diatryma เดินเพ่นพ่านมากมาย นกชนิดนี้มีลำตัวสั้น จึงมีคอและจะงอย ปากที่แข็งแรง ปีกมีขนาดเล็กทำให้บินไม่ได้ มีขาที่แข็งแรง (ขามีนิ้ว เท้า 4 นิ้ว) ทำให้สามารถวิ่งได้เร็ว ส่วนกะโหลกศีรษะของนกชนิดนี้มีความยาว ถึง 45 เซนติเมตร ณ วันนี้ Diatryma ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ก็มี นก cariama ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของมันอาศัยอยู่ในบราซิล


ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ ดึกดำบรรพ์




ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ของจีน(แต่พอแปลจากกูเกิลเขียนว่า หม้ออุ่นอาหารยักษ์จีน ฮ่า) เป็นซาลาแมนเดอร์สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโล ก เมื่อโตเต็มที่อาจยาวถึง 1.8 เมตร รูปร่างหน้าตาของมันดูแปลกประหลาดเพราะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ก่อนไดโนเสาร์ที เร็กซ์เสียอีก ปัจจุบันมีถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะในมณฑลกวางสี ประเทศจีนเท่านั้น ชาวจีนเรียกมันว่า "หว่าหว้าหวี่" แปลว่า "ปลาทารก" เนื่องจากเสียงร้องของมันคล้ายเสียงร้องของเด็กทารก ลักษณะของมันก็เหมือนกับซาลาแมนเดอร์ทั่วๆ ไป เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักกว่า 25 กิโลกรัม รูปร่างหัวกลมแบนใหญ่ ลำตัวแบน ตาเล็ก ปากกว้าง หางยาวมีแผ่นหนังคล้ายครีบ ขาสั้น 4 ข้าง มีนิ้ว 4 นิ้ว ลำตัวสีน้ำตาลกระหรือดำและสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม มีเมือกลื่นคลุมตลอดทั้งลำตัว อาศัยอยู่ในลำธารที่น้ำใสสะอาด ไหลแรง


อัลริเกเตอร์ ปลาดึกดำบรรพ์



อัล ริเกเตอร์ เป็นปลาหน้าตาน่ากลัว ลักษณะ ลำตัวกลม ยาวเรียว ส่วนหัวจะเล็ก ลง ปากยาว โคนหางด้านบน จะยาวกว่าโคนหางด้านล่าง อย่างเห็นได้ชัดแพน ปาก มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้อยคลานและขากรรไกลฟันคมยาวเป็นอาวุธ พบทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาและทางภาคเหนือและภาคตะวันออกของเม็กซิโก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ(แม้บางครั้งมันก็เร่ ร่อนไปทะเลเหมือนกัน) มันสามารถเติบใหญ่ได้ถุง 4 เมตร ยาวและหนักกว่า 220 กิโล

อุปนิสัย ของปลาชนิดนี้ ค่อนข้างรักสงบ ไม่ก้าวร้าว สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงได้ หรือชนิดเดียวกันได้ หลายๆตัว ชอบอยู่รวมกัน เป็นฝูงโดยการลอยตัว อยู่บริเวณ เหนือผิวน้ำนิ่งๆ เพื่อรอเหยื่อว่ายเข้ามา ใกล้จึงจะพุ่งเข้าไป งับเหยื่อและมีรูปแบบ การกินเหยื่อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก และสันนิษฐานว่าเป็นปลาก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังคงเหลือรอดจนถึงปัจจุบัน