คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

ปี 2012 โลกจะแตกจริงหรือ

ปี 2012 โลกจะแตกจริงหรอ มาฟังข้อมูลที่แท้จริงกันครับ



ข้อความที่ท่านได้อ่านต่อไปนี้ สามารถเชื่อถือได้ แต่อาจจะไม่ 100 %
ซึ่งผมได้รวบรวมมาจาก Google และทฤษฎีต่างๆที่อ้างอิงได้จริง

Magnetic Pole Reversal ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกด้าน

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA
ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเ ปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่
เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์
แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเต อร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิ
สิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบว นการพลิกกลับของขั้วแม่ เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้าน ปีที่ผ่านมาจนทำให้ สัตว์จำพวกได
โนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี ้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน


การ พลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลั บตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลด ลงจนมีค่าเป็นศูนย์ หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างห ลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก


โดย ปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่ งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุ ไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวง อาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ

" ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่อง นี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เ หล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกส ู่อวกาศ >>>แต่ทะว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังส ีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต ่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็ กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียร เหมือนแม
่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโ ลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั
้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศ ักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่ นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุ สุริยะจะห
มดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จ นทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล
็กโลก จะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในค รั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟ ฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

คำ ถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเก ิดอะไรขึ้นกับโลก <<<<<ต่อไปจากตรงนี้ เชื่อถือไม่ได้แล้วครับ



สิ่งที่ จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อม เป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดควา มหายนะจากพายุสุริยะแค่ เพียงอย่
างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตาม มาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้ งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่น เอง

คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อ โลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมา ย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง........ ...................

หวัง ว่าเพื่อนๆชาว nokiagang พอจะกระจ่างบ้างแล้วนะครับ จะเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญานส่วนนบุคคลครับ เอาเป็นว่าเพื่อนๆคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์นี้ และถ้ามันเกิดขึ้นจริง เพื่อนๆคิดว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตอย่างไรในปัจจุบัน เพื่อเผชิญหน้ากับมัน ครับ

อันนี้อีกหันหนึ่งการทำนาย ของชนเผ่ามายัน "โปรดใช้วิจารณาในการอ่าน"

21-12-2012 DoomDay มหาวิบัติวันล้างเผาพันธ์มนุษยชาติ!!

ปัจจุบัน (อย่าเพิ่งท้อที่จะอ่าน...) บนเว็บบอร์ดตามอินเตอร์เน็ตทั่วโลก...ไม่มีทางที่จะไ ม่มีเรื่องนี้ปรากฎอยู่บนอินเตอร์เน็ตก็คือ 21-12-2012
21-12-2012 คืออะไร? มันมาได้อย่างไร? มีคำตอบที่นี่...

21-12-2012 หมายถึง วันที่ 21 เดือนธันวาคม ค.ศ.2012 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในปฎิทินชาวมายัน...
ปฎิทินชาวยัน คือ ปฏิทินโบราณของชนเผ่าที่ชื่อว่า "มายัน" (บางทีจะเรียกว่า 'มายา') ในสมัยโบราณนั้น ชนเผ่ามายัน เป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคำนวณปีทางสุริยคติได ้อย่างแม่นยำที่สุด จะเห็นได้จากการคำนวณในปัจจุบันของเรา ซึ่งอยู่ที่ 365.2420 วัน ขณะ ที่การคำนวณของชนเผ่า มายัน ซึ่งใช้วิธีการคำนวณตามแบบของตนเองและอุปกรณ์ต่างๆ จากพีระมิดที่สูงที่สุดของเขาจะคำนวณได้ 365.2420 แตกต่างกันเพียง 0.0002 ของหนึ่งวัน ซึ่งการคำนวณครั้งนี้ปรากฏมาตั้งแต่ระยะเวลาหลายพันป ีที่แล้ว ก่อนหน้าที่ชาติอื่นๆ จะคำนวณปฏิทินทางสุริยะคติได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ แล้วชาว มายัน สามารถคำนวณจากการสังเกตดวงดาวได้อย่างแม่นยำก่อนหน้ าที่จะมีการประดิษฐ์กล้องส่องดูดาวขึ้นมาได้อย่างไร? *ปัจจุบัน ปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ก็มาจากชาวมายันนั้นเอง

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ณ วันนั้น?
เป็นคำถามที่ทุกๆคนถามถึง...ซึ่งทางวิทยาศาสตร์, โหราศาสตร์, โบราณคดี, การทำนาย...ได้ให้คำตอบไว้แล้ว ซึ่งดันมาตรงกับ 21-12-2012 พอดิบพอดี (เหลือเชื่อ - -)

ทางวิทยาศาสตร์ - "วัน นั้นจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 'การพลิกขั้วกลับของสนามแม่เหล็กโลก' จากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012..."


Click the image to open in full size.
แบบจำลองการพลิกขั้วของสนามแม่เหล็กโลก

จาก การทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

ใน การค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแห น่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย ์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ ดปีพอดี

ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูก บันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริ งได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำ คุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเ ป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล ้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


ทางโหราศาสตร์ - บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์

ทางโบราณคดี - อย่างที่พูดข้างต้นไว้...เป็นวันสุดท้ายในปฏิทินของช าวมายัน

ทางการทำนาย - นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับ ทางโหราศาสตร์

ทางด้าน UFO - ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดา วได้บอกเค้า(แล้วแต่ความเชื่อ...มีภาพประกอบ)

Click the image to open in full size.
แผนที่โลกใบใหม่ โดย Gordon-Michael Scalion ทำเสร็จเมื่อปี 2525

Click the image to open in full size. Click the image to open in full size.
แผนที่โลกใบใหม่ในส่วนเอเชีย และส่วนขยายประเทศไทย
ตาม ภาพข้างบนนะ...ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตาม ภาพที่ขยายออกมา ซึ่งคงได้ยินกันมาอยู่บ้างว่า ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วน และภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปรและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายจากแม่น้ำเป็นทะเล

สำหรับในบ้านเรา คุณหมอประสาน ต่างใจ เคยพูดเอาไว้ในงานเสวนา “พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก” ถึงการละลายของน้ำแข็งบนยอดเขา จำนวน 19 ร้อยล้านตันว่าจะใช้เวลาอีกราว 5-7 ปี ซึ่งละลายหมดในปี ค.ศ.2012 เช่นเดียวกันกับปฏิทิน 22 ของชาวเผ่ามายา ได้ทำปฏิทินเอาไว้ที่ 5,000 ปี โดยแต่ละเดือนจะมี 20 วัน โดยเชื่อว่า โลกในวันสุดท้ายคือ 22 ธันวาคม ค.ศ.2012 พระเจ้าของพวกเขาจะปรากฏตัวอีกครั้งนั่นเอง

ต่อไปนี้คือความบังเอิญของตัวเลข
"ไม่ ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตุจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจรณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 (เลยสวยมาก) ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาตร์ที่จะมี โลก กาแล็คซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศ และจักรวาล"

อันที่จริงมีมากกว่านี้ แต่ผมเห็นว่ามันค่อนข้างที่จะเวอร์เกิดไปหรือมีการปรุงแต่งนั่นเอง...สุดท้ายนี้ผมไม่อยากให้ทุกคนตื่นตะห นกกับสิ่งที่ผมเล่า...เพราะยังไม่รู้ว่าจะจริงรึไม่ แต่ขอให้ทุกคนทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองครับ ^^

ทางใครจะ Copy ไป..กรุณาให้เคตดิตไว้ด้วย ใครที่่มันไม่มีจิตสำนึกว่า...คนพิมพ์ใช้เวลากี่ชั่ว โมงกว่าจะเสร็จ ขอให้มันตายๆไปซะ...

ปล. สังเกต...ข้อความข้างต้นไม่พูดถึงว่าโลกจะแตก โลกจะพินาศ เพราะมันยังไม่แตกง่ายๆหรอกสำหรับโลกใบนี้
ปล2. "โปรดใช้วิจารณาในการอ่าน"
ปล3. ไม่ต้องกังวลนะคับ มีโอกาศเป็นจริงน้อยมาก แค่แบ่งปันความรู้

จัดอันดับ 5 ผู้นำที่ตายยากที่สุดของโลก

จัดอันดับ 5 ผู้นำที่ตายยากที่สุดของโลก




ข่าวการเมืองปัจจุบันนี้มีมากมายจนน่าเอียนทั้งเรื่องการเมืองเองและเรื่อง ของนักการเมืองก็ดี ซึ่งบางครั้งก็สร้างความเบื่อหน่าย ให้แก่สังคมเรา

เมื่อ พูดถึงบรรดาผู้นำต่างๆหรือนักการเมืองชื่อดังเราก็มักจะนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เขาเคยทำไว้ทั้งดีและร้าย ถ้าทำดีผู้คนก็ยกย่องกันไป แต่หากทุจริตหรือกระทำเรื่องที่เลวร้ายก็อาจจะถูกหมายหัวของผู้ที่ไม่ชอบ หน้าก็เป็นได้ เมื่อพูดถึงการหมายหัวผู้นำต่างๆก็พาให้คิดถึงการรอบสังหารผู้นำทั้งหลายที่ มีอยู่ ทั้งนี้เองจึงได้จัดอันดับผู้นำที่ถูกรอบสังหารมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ดันไม่ตายกันกว่าจะตายก็นานโขเลยทีเดียว




มาที่คนแรกเลยละกัน หากกล่าวชื่อไปไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาคนนี้ ฮิตเลอร์ ผู้เอาชีวิตรอดจากแผนสังหารกว่า 50 ครั้ง
ผู้นำนาซี ซึ่งเป็นผู้บัญชาให้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวถึงหกล้านคน ซึ่งยังไม่รวมชาวโปแลนด์ อีกสองล้านคนนอกจากนี้ ยังมีประชาชนอีกกว่าสี่ล้านคน ซึ่งนาซีพิจารณาว่า “ไม่ควรมีชีวิตอยู่” (อันประกอบด้วย ผู้พิการ ผู้ป่วยทางจิต เชลยศึกชาวรัซเซีย คนรักร่วมเพศ เป็นต้น) จึงไม่เป็นเรื่องแปลก ที่ฮิตเลอร์จะเป็นเป้าของการปองร้าย จากศัตรูรอบทิศแต่ เขาก็พิสูจน์ ความเป็น “นักการเมืองตายยาก” อันดับหนึ่ง โดยเอาชีวิตรอดจากการลอบสังหารกว่าห้าสิบครั้งได้ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย พร้อมอีวา บราวน์ ภรรยาของตน ในบังเกอร์ ขณะที่เยอรมันกำลังจะพ่ายสงคราม




คนต่อคนนี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าใดนักแต่ถ้าคนที่ศึกษา ประวัติศาสตร์รัสเซียก็จะรู้จักเขาดีนั้นคือ รัสปูติน ผู้ถูกวางยาพิษ ถูกยิง และ ตีซ้ำ แต่ในที่สุดตายสมใจเพราะจมน้ำ
รัสปูติน เป็นนักบวชชาวรัซเซีย ผู้มีพลังจิตพิเศษซึ่งมีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซีย
การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้น นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ รัสปูติน ได้รับเชิญให้เข้าไปอยู่ในวัง ภายหลังสามารถรักษาองค์ชายอเล็กซีเอ พระโอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย หลังจากรัสปูตินเข้าอยู่ในวังหลวงไม่นาน เขาก็เริ่มจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งต้องก็ใช้เงินจำนวนมากมาย ยิ่งนานวัน รัสปูตินยิ่งสั่งจัดงานเลี้ยงล้างบาปบ่อยขึ้นเรื่อย จนดูพร่ำเพรื่อ และผู้คนเริ่มมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุข
ในที่สุด เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ เห็นว่า รัสปูตินจะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือเพื่อสังหารรัสปูติน โดยเชิญเขาไป งานเลี้ยงเล็กๆ ในวังเจ้าชาย และวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน
เมื่อเขากินเค้กจนหมด ก็ยังไม่แสดงอาการอะไร ประหนึ่งไม่ได้รับผลจากยาพิษ เจ้าชายเฟลิกซ์จึงยิงปืนใส่รัสปูตินหลายนัด รัสปูตินก็ยังไม่เสียชีวิต และเดินออกมาข้างนอกวัง
กลุ่มข้าราชบริพารของเจ้าชายเฟลิกซ์ จึงระดมทุบตี และมัดตัวรัสปูตินซึ่งยังไม่ตาย โยนลงไปในแม่น้ำ
ผลการชันสูตร พบสารไซยาไนด์และกระสุนปืนจำนวนมากในร่างของรัสปูติน แต่รัสปูตินเสียชีวิตเพราะจมน้ำ
รัสปูติน เสียชีวิตขณะอายุ 47 ปี




อันดับต่อมาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นตำนานที่ยัง เดินได้ ฟีเดล คัสโตร ผู้เอาชีวิตรอดจากการลอบสังหาร 638 ครั้ง และ ยังคงหายใจอยู่
คัสโตร ผู้บริหารคิวบา นับเป็นผู้ที่ “ตายยาก” มากที่สุดผู้หนึ่งเฟเบียน เอสคาลันเต ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของคัสโตรประมาณว่า มีความพยายามสังหารคัสโตรโดยซีไอเอ ถึง กว่าหกร้อยครั้งวิธีการก็มีต่างๆนานา จนเหลือเชื่อ รวมถึงการใช้ระเบิดรูปร่างแบบซิการ์
ครั้งหนึ่ง ซีไอเอใช้ มาริต้า ลอเรนซ์ คู่รักเก่าของคัสโตรเพื่อให้วางยาพิษเขา
เมื่อคัสโตรรู้เรื่อง เขาจึงยื่นปืนให้หล่อน พร้อมบอกให้มาริต้ายิงเขาเสียเอง แต่มาริต้าไม่สามารถทำได้
คัสโตร เคยให้สัมภาษณ์ ถึงความพยายามลอบสังหารตนว่า “หากการเอาชีวิตรอดจากการลอบสังหาร เป็นกีฬาหนึ่งในโอลิมปิค ผมคงได้รับรางวัลเหรียญทองแน่นอน”




อันดับต่อมาผู้นำผู้นี้มีเชื้อพระวงศ์ กษัตริย์ฮุซเซน แห่ง จอร์แดน เอาชีวิตรอดจากการลอบสังหาร 12 ครั้ง หนึ่งในนั้น รอดมาได้ เพราะเหรียญที่ติดอยู่กับเครื่องแบบ
ขณะมีชีวิตอยู่ กษัตริย์ฮุซเซนแห่งจอร์แดน ถูกลอบสังหารไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 1950-1960
พระองค์ เคยเขียนไว้ว่า “บางครั้ง ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครเอก ในนิยายสืบสวนสอบสวน”การลอบสังหารครั้งแรก เกิดขึ้นขณะพระองค์มีอายุ 15 ปี เมื่อชาวปาเลสไตน์หัวรุนแรงระดมยิงใส่ กษัตริย์อับดุลลาห์ (ขณะนั้น) ซึ่งเป็นปู่ของ ฮุซเซน และเดินอยู่ด้วยกันเสียชีวิต ในปี 1970 กษัตริย์ฮุซเซนถูกระดมยิง ขณะเดินทางอยู่ในกระบวนรถคนขับรถได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระองค์ปลอดภัย กษัตริย์ฮุซเซนสิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งในปี 1999 ด้วยวัย 63 ปี




อันดับสุดท้ายต้องบอกว่าเป็นบุคคลที่เรียกร้องเสรีแก่บ้านเกิด เมืองนอนของตนจริง จนเป็นการขัดแข้งขัดขาชาวบ้านเขาให้ต้องหมายหัวบุคคลนั้นคือ อาราฟัต รอดชีวิตจากการโจมตีด้วยระเบิดหลายครั้ง รวมทั้งจากเครื่องบินตก
ยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำของชาวปาเลสไตน์ เอาชีวิตรอดจากการลอบสังหารมาหลายครั้งในปี 1985 เขาเอาชีวิตรอดจากแผนสังหาร เมื่ออิสราเอลทำการโจมตีทิ้งระเบิดกองบัญชาการของเขาด้วยเครื่องบิน เอฟ-15 มีผู้เสียชีวิต73 คน อาราฟัตเอาชีวิตรอดอย่างหวุดหวิด เพราะเขาบังเอิญออกไปจ๊อกกิ้ง เขายังรอดชีวิต จากเครื่องบินตก เนื่องจากพายุทรายในทะเลทรายลิเบีย นักบินสองคน และ วิศวกรประจำเครื่องเสียชีวิต ขณะที่เขาเพียงได้รับบาดเจ็บ อาราฟัตเสียชีวิตในปี 2004 เมื่ออายุ 75 ปี

การเลือกวิกและเส้นไหมวิกต่างๆ

~How to การเลือกวิกและเส้นไหมวิกต่างๆ
วันนี้...เซย์จะมาแบบมีสาระบ้าง(หลังจากไร้สาระมาน๊านนาน)




เนื่องจากตอนนี้ วิกจีนกำลังมาแรงสุดๆ

หลายๆคนก็คงจะมีกันบ้างหัวสองหัวใช่มั้ยล่ะ!

แต่รู้กันรึเปล่าว่า วิกที่มีเป็นเส้นไหมแบบไหน เหมาะกับการใช้งานยังไง

วันนี้เซย์จะนำข้อมูลที่พยายามคุ้ยหามาอธิบายให้ฟัง



เข้าเรื่องเลยเนอะ


หลังจากที่เซย์บ่นๆเรื่องวิกร้านแกะมาหลายรอบแล้ว ก็เลยสงสัยว่า ทำไมวิกร้านแกะถึงเปลี่ยนไป

แถมเปลี่ยนไปแบบไหมคนละชนิดกันเลยด้วย

เลยไปหาข้อมูลและควานหาร้านที่ยังมีไหมแบบเดิมของแกะในเตาเปาอย่างเมามันส์



เส้นไหมเดิมของร้านแกะนั้น

มีลักษณะด้าน เงาละเอียดความประกายผมของคนจริงๆ มีความนุ่มมากกกก
เส้นไหมหนาและมีนำหนักมาก
พันค่อนข้างง่าย แต่สางก็ง่ายเช่นกัน ความยืดหยุ่นสูง
ข้อเสียที่เห็นได้ชัด เนื่งจากเส้นไหมมีความนิ่มสูง ทำให้จัดทรงได้ยาก เหมาะกับการคอสผมยาว หรือผมลอนที่ทิ้งตัว ไม่เหมาะกับทรงผู้ชาย



หัวสีม่วงของพี่เป็นของร้าน Fantasy sheep จ้ะ แต่เป็นรุ่นแรกๆเลย



เส้นไหมรุ่นใหม่ของร้านแกะมีลักษณะ หยาบ ไม่นุ่มเลย ไหมมีรอยพับง่าย
มีลักษณะเงาแบบ วิ้งใสๆ และแบบด้าน แต่ดูเบา ถ่ายรูปขึ้นกล้องมาก น้ำหนักเบากว่าไหมแบบเดิม
แต่มีข้อดีคือ อยู่ทรงมากๆ การเซตทรงตั้งหรือทรงผมหนาๆเพิ่มวอลลุ่มดีมาก
สามารถหนีบร้อนได้สูง 200องศา++และทำให้ไหมนิ่มลงได้ ด้วยการหนีบร้อน
เหมาะกับผมทรงผู้ชาย ผมตั้งชี้ทุกทรง ผมลอนแบบม้วนกลม


หัวแรกเป็็นของร้านแกะ หัวที่สองเป็นของร้าน MIMI มีลักษณะเส้นไหมแบบเดียวกัน


หัวยูฟี่ก็ เป็นลักษณะนี้ จากร้านอายานามิ




สงสัยมากๆเข้าก็เลยไปหาข้อมูลมา ลักษณะของเส้นไหม

Synthetic Fiber - most common fiber.
Kanekalon Fiber - a special type of synthetic hair that can be used with curling irons (low settings), lighter than synthetic hair, and lasts longer.
Toyakalon Fiber - similar to Kanekalon.

อ้างอิงจาก
http://texasbeautysupplies.com/synthetichair.html

อธิบายง่ายๆคือ

Synthetic Fiber- คือ เส้นไหมวิกที่พบมากที่สุด ลักษณะคล้ายเส้นไหมร้านเบลล์ ไม่ทนความร้อน

เส้นไหมพันกันง่าย ความยืดหยุ่นน้อย อายุการใช้งานนน้อย

Kanekalon Fiber - เซย์เคยเห็น ป้ายที่ติดมากับร้านแกะเขียน ว่าเป็นเส้นไหมตัวนี้ ก็เลยไปหาข้อมูลมา

เป็นเส้นใยที่พัฒนาขึ้นจาก Synthetic Fiber ทนความร้อนได้สูง 150-200 องศา

มีลักษณะ เงาสะท้อนคล้ายผมคนจริงๆ เส้นไหมพันง่าย มีน้ำหนักมาก และมีความนุ่มมาก

Toyakalon Fiber - ตัวนี้ก็เคยเห็นผ่านตาเหมือนกันแต่น้อยกว่า Kanekalon

ตอนแรกอ่านก็งงบอกว่าคล้ายๆกัน แต่พอเสริชจากผู้ที่เคยใช้คือ

เส้นไยตัวนี้ จะมีความเงามากกว่า โทนสีจะสว่างสดใส มีน้ำหนักเบากว่า

เส้นไหมไม่ค่อยพันกันง่ายเท่า Kanekalon ทนความร้อนสูงเหมือนกัน

แต่ดูเป็นธรรมชาติน้อยกว่า Kanekalon




พอเข้าใจกันบ้างมั้ยเอ่ย

อธิบายด้วยรูปอาจจะเข้าใจมากกว่า



Synthetic Fiber



Kanekalon Fiber



Toyakalon Fiber




แต่ข้อจำกัดของแต่ละชนิดก็ไม่ได้ตายตัวนะคะ

เส้นไหมแต่ละอย่างก็มีเกรดของมัน อย่างเช่น Kanekalon Fiber ที่มีคุณภาพต่ำก็จะทนความร้อนได้น้อย ดูด้วยตาเปล่าจะแยกไม่ค่อยออกต้องลองหนีบดู

หรือวิกบางชนิดก็ใช้เส้นใยผสมคือ Kanekalon+Toyakalon




หวังว่าจะมีประโยชน์ในการเลือกวิกของทุกคนไม่มากก็น้อยนะคะ

**โดยส่วนตัวเซย์ชอบเส้นใยแบบ Kanekalon ที่สุดจ้ะ มันอุอั้งมากๆนุ๊มนุ่มมม~ ยิ่งเป็นผมลอนนี่สุดยอดดดดดดดดดดของความสวยยยย

แต่ถ้าเป็นผมตั้งๆเซตเยอะๆ แบบทรงดีโน่ หรือ คราวด์ จะใช้แบบ Toyakalon จ้ะ เซตทรงง่าย แทบไม่ต้องใช้สเปรย์~

ส่วนอะไรดีกว่ากันนั้น ไม่ทราบเลยจ่ะ เพราะแต่ละที่ก็บอกไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าคุณสมบัติมันต่างกันดีกว่าจ้ะ

สงครามโลกครังที่สอง


สงครามโลกครั้งที่สอง (ประวัติศาสตร์)


สงครามโลกครั้งที่สอง

สงครามโลกครั้งที่สอง (World War 2) เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) และดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ได้ชื่อว่าเป็นสงครามที่มีขนาดใหญ่และทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์โลก

ต้นเหตุที่แท้จริงของสงครามครั้งนี้ ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ความเป็นชาตินิยม การแย่งชิงอำนาจและต้องการแบ่งปันโลกใหม่ของประเทศที่เจริญตามมาทีหลังและ แสนยนิยม เช่นเดียวกับวันเริ่มต้นสงคราม ที่อาจเป็นไปได้ทั้งวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) ที่เยอรมันรุกรานโปแลนด์, วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน (วันเริ่มต้นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2) หรือปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ที่ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย บางคนกล่าวว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งนี้เป็นข้อพิพาทเดียว กัน แต่แยกกันด้วย “การหยุดยิง”

การต่อสู้มีขึ้นตั้งแต่มหาสมุทรแอตแลนติก ยุโรปตะวันตกและตะวันออก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา ตะวันออกกลาง มหาสมุทรแปซิฟิก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน สงครามในยุโรปสิ้นสุดเมื่อเยอรมนียอมจำนนในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) แต่ในเอเชียยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน คาดว่ามีผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ราว 57 ล้านคน
ประเทศที่มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้

ใน สงครามครั้งนี้ เป็นการสู้รบกันระหว่างสองฝ่ายคือ ฝ่ายอักษะ และ ฝ่ายพันธมิตร โดยประเทศเล็กๆ ส่วนใหญ่แล้ว ประเทศจะเข้าร่วมฝ่ายตาม ประเทศเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่

ฝ่ายอักษะประกอบไป ด้วยแกนนำหลัก คือ เยอรมนี อิตาลี และ ญี่ปุ่น ในนามของกลุ่มอักษะโรม-เบอร์ลิน-โตเกียว ที่มีการแถลงวัตถุประสงค์หลักในตอนต้นว่าเพื่อต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ สากล

ฝ่ายพันธมิตรประกอบไปด้วยแกนนำหลัก คือ สหราชอาณาจักร, สหภาพโซเวียต และ สหรัฐอเมริกา โดยมีประเทศที่เข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรที่สำคัญอีก 2 ประเทศคือ จีน และ ฝรั่งเศส ซึ่งประเทศทั้ง 5 นี้ได้เข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

สาเหตุ
สาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากประเทศเยอรมนีไม่พอใจสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซี่ งเป็นสนธิสัญญาที่เยอรมนีต้องลงนามเมื่อแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คือต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ถูกลดกำลังทหาร อาวุธ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เสียดินแดน ชนวนเกิดขึ้นเมื่อเยอรมนีหาเรื่องโปแลนด์ในประเด็นเรื่องการไม่เคารพสิทธิ ของคนเชื้อสายเยอรมันในโปแลนด์ นอกจากนี้เมื่อทางเยอรมนีขอตัดถนนข้ามจากเยอรมนีฝั่งตะวันตกเข้าไปยังปรัส เซีย (ซึ่งปัจจุบันคือดินแดนฝั่งตะวันออกของเยอรมนี) โดยผ่านฉนวนโปแลนด์ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่อังกฤษและฝรั่งเศสไม่อนุญาต เยอรมนีจึงยกเลิกข้อตกลงหยุดยิงและบุกเข้าโปแลนด์ทันที ซึ่งอังกฤษและฝรั่งเศสได้สัญญาไว้ว่าจะช่วยเหลือทางทหาร จึงสั่งให้เยอรมนีถอนกำลังออกภายใน 14 ชั่วโมง แต่เยอรมนีปฏิเสธไม่ถอนกำลัง จึงได้ประกาศสงคราม โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายอักษะ เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษ ฝรั่งเศส ต่อมาจึงมี จีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต

ฝ่ายชนะคือฝ่าย สัมพันธมิตร ทำให้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปหมดกำลังลง จึงเกิดมหาอำนาจใหม่คือสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต จนนำไปสู่สภาพสงครามเย็นในเกือบจะทันทีที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง



ภาพเรียงตามเข็มนาฬิกาจากบนสุด : กองทัพเครือจักรภพในยุทธการเอล อาลาเมน ; พลเรือนชาวจีนถูกฝังทั้งเป็นโดยทหารญี่ปุ่น ; กองทัพโซเวียตในแนวรบด้านตะวันออก ; เครื่องบินรบญี่ปุ่นเตรียมบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ; กองทัพโซเวียตสู้รบในกรุงเบอร์ลิน ; เรือดำนำเยอรมันถูกระดมยิงอย่างหนัก



สมรภูมิรบ

สมรภูมิรบในสงครามโลกครั้งที่2นั้นเกิดขึ้นหลายแห่งในโลก โดยตามแผนเดิมของฝ่ายอักษะนั้น ต้องการที่จะบุกมาบรรจบกันที่อิหร่าน ซึ่งสามารถจำแนกสมรภูมิเป็นกลุ่มใหญ่ได้2กลุ่มคือ



สมรภูมิทางตะวันตก

สมรภูมิทางตะวันตก ซึ่งมีเยอรมนีเป็นฝ่ายรับผิดชอบ โดยยังสามารถแยกย่อยให้เป็นกลุ่มย่อยได้อีกคือ

สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันตก ได้แก่ ในฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี นา ซีเข้าถล่มออสเตรียและผนวกเข้ากับเยอรมนี ล้มล้างระบอบกษัตริย์ในออสเตรียลงและนำกองทัพเข้าโจมตีฮ้งการี ฮังการีเกรงกลัวจึงประกาศยอมแพ้แก่นาซี การบุกโจมตีประเทศต่ำ(เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบอร์ก)ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมีนาแห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จ ลี้ภัยไปยังอังกฤษและมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าหญิงจูเลียนาเมื่อครองเนเธอร์ แลนด์ได้ภายใน 4 วัน เบลเยี่ยมและลักเซมเบอร์ก จึงป้องกันประเทศอย่างแน่นหนาด้วยพรมแดนธรรมชาติแต่นาซีได้เข้าทำลายและทำ การผนวก จากนั้นนาซีสามารถเข้าผนวกฝรั่งเศสได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเข้าถล่มเมืองเกอเออนีคาแห่งสเปนที่เป็นกลางด้วยระเบิดรวมถึง โปรตุเกสด้วย และในสแกนดิเนเวียโดยการบุกโจมตีเดนมาร์กและนอร์เวย์ และบีบบังคับให้สวีเดนที่เป็นกลางมอบทรัพยากรทางธรรมชาติให้เยอรมนี ส่วนฟินแลนด์เข้าร่วมกับนาซีเพื่อเข้าโจมตีดินแดนที่เสียให้กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเยอรมนีประสบความสำเร็จในการยึดครอง และการยุทธแห่งเกาะบริเตนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของฮิตเลอร์ที่หันไปให้ความสำคัญกับยุโรป ตะวันออกและรัสเซีย ซึ่งเป็นแนวรบที่เยอรมนีได้ทำการโจมตีหลังจากได้เข้ายึดครองประเทศโปแลนด์ แล้ว และได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญของสงครามอีกครั้งหลังจากการยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส และการยกพลขึ้นบกที่อิตาลีของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตามปฏิบัติการแอนซิโอ
สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันออก ได้แก่ ในโปแลนด์ กรีซ (บางส่วน) ยูโกสลาเวีย โรมาเนีย และสหภาพโซเวียต โร มาเนียนั้นเข้าร่วมกับนาซีและเข้าผนวกบัลแกเรียโดยนายพลเซาเซสคูแห่งโรมา เนีย ซึ่งถ้าไม่นับรวมโปแลนด์แล้ว ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญการรุกรานจากเยอรมนีหลังจากสมรภูมิในทวีปยุโรปตะวัน ตก ซึ่งเยอรมนีได้บุกเข้าไปจนกินเนื้อที่จำนวนมาก แต่ทว่าก็ไม่อาจเอาชนะฝ่ายสัมพันธมิตรในสมรภูมินี้อย่างถาวร เนื่องจากแนวรบที่กว้างขวางตั้งแต่ทะเลบอลติก (เลนินกราด หรือ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) จนถึงลุ่มแม่น้ำโวลก้า (สตาลินกราด) และแหลมไครเมีย สภาพอากาศที่โหดร้าย และการตอบโต้อย่างหนักจากสหภาพโซเวียต จนทำให้โดนฝ่ายสหภาพโซเวียตตีโต้กลับไปจนถึงกรุงเบอร์ลินในที่สุด ส่วนอิตาลีได้ทำการผนวกแอลเบเนียแต่ไม่สามารถผนวกกรีซได้
สมรภูมิริมขอบของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ ในไซปรัส กรีซ (บางส่วน) ลิเบีย และอียิปต์ ซึ่ง พื้นที่เหล่านี้เคยอยู่ในอิทธิพลของอังกฤษมาก่อน แต่ว่าอิตาลีและเยอรมนีต้องการ จึงได้เกิดสมรภูมิทะเลทรายอันลือลั่นขึ้น ในตอนแรกนั้น ฝ่ายอิตาลีไม่สามารถเอาชนะอังกฤษได้ แต่ว่าต่อมาฮิตเลอร์ได้ส่งจอมทัพเออร์วิน รอมเมลอันโด่งดังและกองกำลัง Afrika Korp เข้ามาทำให้สถานการณ์ของฝ่ายอักษะกลายเป็นฝ่ายรุก แต่ในที่สุด เนื่องด้วยฝ่ายอักษะไม่สามารถส่งกำลังบำรุงและทหารมาประจำการในสมรภูมิทะเล เมดิเตอร์เรเนียนได้มาก เนื่องจากติดพันอยู่กับสมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันออก และฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการฐานสนับสนุนการยกพลขึ้นบกที่อิตาลีตามข้อเสนอของ นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์ ด้วยความสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา จึงได้เกิดปฏิบัติการทอร์ชขึ้น และสามารถขับไล่ฝ่ายอักษะออกจากแอฟริกาเหนือได้

สมรภูมิทางตะวันออก
สมรภูมิทางตะวันออก ซึ่งรับผิดชอบโดยญี่ปุ่นเป็นด้านหลัก โดยมีชื่อเรียกยังสามารถแยกเป็นกลุ่มย่อยได้อีกคือ

สมรภูมิในจีน ซึ่งกองทัพบกญี่ปุ่นได้ดำเนินการมานาน ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่2อย่าง เป็นทางการ โดยได้ทำการยึดครองเมืองและบริเวณชายฝั่งของจีนเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงการจัดตั้งประเทศแมนจูกัวซึ่งมีจักรพรรดิปูยีเป็นประมุข และได้ทำการยึดครองกรุงหนานจิง(นานกิง)ที่เป็นเมืองหลวงของจีน(ของรัฐบาลก๊ก มินตั่งในยุคนั้น) และได้ทำการสังหารหมู่ชาวจีนทีโด่งดังขึ้น ซึ่งรุนแรงมากจนกระทั่งทำให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสในเมืองนานกิงยังรับไม่ได้ ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างพรรค คอมมิวนิสต์จีนซึ่งมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำและพรรคก๊กมินตั๋น(ประชาธิปไตย)ที่ มีเจียงไคเช็กเป็นผู้นำ หลังจากเกิดกรณีซีอันขึ้น ทั้งที่ 2 พรรคนี้เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้ทำการสู้รบและดำเนินการ “สงครามกองโจร” ที่กลายเป็นแบบอย่างของสงครามกองโจรยุคใหม่ขึ้นโดยมีฐานที่มั่นหลักอยู่ที่ เยนอาน ตามเขตตอนเหนือและแมนจูเรียส่วนพรรคก๊กมินตั๋นได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ฉ่ง ชิ่ง(จุงกิง)และได้รับการสนับสนุนจากสัมพันธมิตรที่อยู่ในอินเดีย แต่ว่ามีการถกเถียงกันระหว่างบทบาทของพรรคก๊กมินตั๋นและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในเรื่องบทบาทความสำเร็จและความเอาการเอางานในการต่อต้านญี่ปุ่นของอีกฝ่าย หนึ่ง แต่ที่แน่ชัดคือ นายพลสติเวลล์ ผู้บัญชาการทหารของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปดูแลกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋นรู้สึก โกรธมากที่ภายในพรคก๊กมินตั๋นไม่มีประสิทธิภาพ และมุ่งการปราบคอมมิวนิสต์มากกว่าการรบกับญี่ปุ่น ในขณะที่เอดการ์ สโนว์ได้แสดงความชื่นชมบทบาทของเหมาเจ๋อตงอย่างมากในการต่อต้านญี่ปุ่น และทางกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ส่งคณะปฏิบัติการดิกซีเข้าไปร่วมทำงานกับเหมา เจ๋อตุง แต่นักหนังสือพิมพ์จากสหภาพโซเวียตที่ได้เข้าไปทำข่าวในห้วงเวลาเดียวกัน กลับวิจารณ์ เหมาเจ๋อตงว่าไม่เคร่งครัดในลัทธิคอมมิวนิสต์และหย่อนยานในการสู้รบ ทำให้ไม่สามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ การรบชนะจีนซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียนั้น ยิ่งทำให้ชาติญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในการทหารของตนเอง ทำการรุกรานประเทศอื่นๆอย่างไม่เกรงกลัว และยังประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาโดยการส่งเครื่องบินไประเบิดเรืออริโซน่า ที่อ่าวเพิร์ล เป็นชนวนจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่สองในภูมิภาคเอเชีย


สมรภูมิในแปซิฟิคและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถ้าไม่ นับรวมการเข้ายึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศส ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะภายใต้รัฐบาลวิชีแล้ว สมรภูมิด้านนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือหลักของกองทัพ เรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ และการบุกยึดประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้บุกไปถึงพม่า นิวกินี และเกาะกัวดาคาแนล ซึ่งปรากฏว่าหลังจากสมรภูมิที่มิดเวย์ การรบทางทะเลแถวหมู่เกาะโซโลมอนและทะเลปะการัง และการรบที่กัวดาคาแนลแล้ว ปรากฏว่ากองทัพเรือญี่ปุ่นต้องสูญเสียอย่างหนัก ส่วนกองทัพบกก็ไม่สามารถหากำลังพลและยุทโธปกรณ์ได้เพียงพอเพื่อปกป้องดินแดน ที่ยึดได้ใหม่ ในที่สุดจึงถูกกองกำลังพันธมิตรที่มีสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลียตีโต้กลับไปจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด

สงครามโลกครังที่หนึ่ง

สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914)



สงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจาก 4 ประการ คือ
1. การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือ การแข่งขันระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน
2. การทะเลาะเบาะแว้งเรื่องอาณานิคม ปลาย ค.ศ. ที่ 19 ยุโรปต่างแข่งขันช่วงชิงอาณานิคมเพื่อจักรวรรดิของตน ซึ่งก่อให้เกิดความแตกร้าวระหว่างชาติขึ้น เช่น
-อังกฤษกับเยอรมัน เรื่องแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้
-อังกฤษกับฝรั่งเศส เรื่องลุ่มแม่น้ำไนล์
-อังกฤษกับรัสเซีย เรื่องเปอร์เซียและอาฟกานิสถาน
-เยอรมันกับฝรั่งเศส เรื่องมอร็กโกและแอฟริกาตะวันตก
3. ระบบภาคีพันธมิตร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ
- สัญญาไตรภาคี ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย - ฮังการี และอิตาลี
- สัญญาไตรพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
4. ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานด้วยความรู้สึกทางชาตินิยม

วิกฤติกรรมณ์ซาราเจโว
* สาเหตุปัจจุบันของสงครามโลกครั้งที่ 1 เชื่อว่าเกิดจากการลอบปลงพระชนม์ อาชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย ด้วยฝีมือของนักศึกษาบอสเนียเชื้อสายเซอร์ป ชื่อ กาวริโล ปรินซิป ที่ซาราเจโว เมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย
** ใน ค.ศ. 1917 เป็นช่วงที่พลิกโฉมสงครามยุโรปเป็นสงครามโลก เพราะมีเหตุการณ์สำคัญ 2 ประการคือ การปฏิวัติรัสเซีย และการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐ
* สงครามโลกยุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นไปตามหลัก 14 ประการ ของประธานาธิบดีดีวิลสัน ของสหรัฐฯ ซึ่งสนธิสัญญาแวร์ซายส์ข้อที่ 1 ทำให้เกิด "สันนิบาตแห่งประชาชาติ"

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
1. แผนที่ของยุโรปเปลี่ยนไป เพราะการลุ่มสลายของจักวรรดิทั้งสี่
2. ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก ในขณะที่สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของยุโรป

*เยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

เยอรมนี ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ รัฐบาลถูกโจมตีจากพวกที่ไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ จนเมื่อ อดอล์ฟ อิตเลอร์ ผู้นำพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน (NAZI) ซึ่งมีนโยบายหลักไปทางชาตินิยม โดยมีเป้าหมายฟื้นฟูเยอรมันให้มีสภาพเหมือนก่อน (เยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1) และทำการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซายส์ว่ามีการลงโทษประเทศที่แพ้สงครามอย่างไม่ เป็นธรรมจากนโยบายดังกล่าวทำให้เขาได้รับความนิยม และทำรัฐประหารสำเร็จในเดือนมกราคม ปี 1933


ไทยกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2457-2461



กองทหารไทยในดินแดนเยอรมนี

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 ไทยตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ไทยจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบประมาณ 1,200 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายและพลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน
ทหาร อาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม


ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้
1. เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ
2. ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์
3. เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ เป็นหลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของประเทศ
4. ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้แต่รัชกาลที่ 4 เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่
5. ได้ยึดทรัพย์จากเชลย
6. เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์ เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
7. สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น
8. มีการจัดทหารแบบยุโรป และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที (IT ย่อจาก information technology) หมายถึงเทคโนโลยีสำหรับการประมวลผลสารสนเทศ ซึ่งครอบคลุมถึงการรับ-ส่ง การแปลง การจัดเก็บ การประมวลผล และการค้นคืนสารสนเทศ ในการประยุกต์ การบริการ และพื้นฐานทางเทคโนโลยี สามารถแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ คอมพิวเตอร์, การสื่อสาร และข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซึ่งในแต่ละกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกมากมาย องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์) เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบเครือข่าย (การสื่อสาร) โดยมีการส่งข้อมูลต่างๆ ไปยังเครื่องลูก (ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย)

ในบางครั้งจะมีการใช้ชื่อว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information and communications technology ย่อว่า ICT)
บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ตำนานมังกร



1.ตำนานมังกรของจีนนั้น นับว่าเก่าแก่กว่าประเทศอื่นๆ คือราวสี่พันกว่าปีมาแล้วโดยในสมัย พระเจ้าชุน (2255-2205 ปีก่อน ค.ศ.) ได้เกิดอุทกภัยจากแม่นํ้าฮวงโหผู้คนล้มตายมากมาย พระองค์จึงสั่งให้อำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อ ยู้ ไปแก้ไข แม้ว่ายู้จะเพิ่งแต่งงานได้เพียง 4 วัน แต่เขาก็ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเลยถึง 33 ปี บุกป่าฝ่าเขา เผาป่าขุดคลอง กระทั่งสามารถระบายนํ้าท่วมทั้งหมดลงสู่ทะเลได้ เมื่อพระเจ้าชุนสิ้นพระชนม์ ราษฎรจีนทั้งปวงจึงพร้อมใจกันให้ยู้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้า อู๋เต้ (2205-2197 ปี ก่อน ค.ศ.) ต้นราชวงศ์เหีย

ด้วยความยิ่งใหญ่ของยู้ ทำให้กล่าวกันว่า จริงๆ แล้วกำเนิดของยู้นั้นเป็นพญามังกร ดังนั้น จึงถือกันว่าฮ่องเต้หรือจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาของจีนนั้นก็คือมังกรกลับชาติมาเกิด ด้วยเหตุนี้สัญลักษณ์ของฮ่องเต้ จึงใช้รูปมังกรแต่จะผิดแผกจากมังกรธรรมดา คือมี 5 เล็บ และใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำองค์ฮ่องเต้เป็นหลัก

ใน เมืองจีนเราจึงมักได้เห็นรูปมังกร ปรากฏประดับประดาอยู่ทั่วไปครับ ไม่ว่าจะบนผ้าม่านที่ปักอย่างวิจิตร บนตราประทับ หรือบนแจกันตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป

มังกรจีน (อักษรจีนตัวเต็ม: 龍; อักษรจีนตัวย่อ: 龙; พิน อิน: l�ng) เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอันหนึ่งของจักรพรรดิและวัฒนธรรมจีน มีลักษณะที่มาจากสัตว์หลาย ๆ ชนิดผสมผสานกัน ลักษณะลำตัวยาวเหมือนงู มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่บริเวณขากรรไกรด้านบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนกับไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนกับของสิงโตอยู่บน คอ , คาง และข้อศอก มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว ลักษณะเขาของมังกรจะมีสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหาง เป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีขา 4 ขาและกรงเล็บแข็งแรง

เกล็ดของมังกรจีนนั้น จะมีลักษณะเฉพาะเปลี่ยนไปตามแต่ละชนิดของมังกร ตั้งแต่สีเขียวเข้มจนถึงสีทอง หรือบางแหล่งกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้นมีหลายสี เช่น สีน้ำเงิน สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง แต่ในกรณีของมังกรชนิด ไชโอะ (chiao) หลังของมังกรจะเป็นสีเขียว บริเวณด้านข้างเป็นสีเหลือง และใต้ท้องเป็นสีแดงเข้ม มังกรจีนชนิดหนึ่งจะมีปีกที่ด้านข้างของลำตัว และสามารถที่จะเดินบนน้ำได้ แต่สำหรับมังกรจีนอีกชนิดหนึ่งเมื่อสะบัดแผงคอไปข้างหน้าและข้างหลัง จะทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงขลุ่ย

มังกร จีนจะมีโหนกอยู่บนหัวซึ่งทำให้สามารถบินได้ เรียกโหนกที่อยู่บนหัวว่า เชด เม่อ (ch’ih muh) แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็ก ๆ ที่เรียกว่า โพ เชน (po-shan) ซึ่งสามารถทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้ ในประเทศจีนคนโบราณมีความเชื่อกันว่ามังกรคือสัตว์ที่ทรงพลังและ ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าและดิน ได้รับการกล่าวกันว่ามีความเป็นมิตร มากกว่าความร้ายกาจ เป็นสัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความสุข และความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง พบได้ใน แม่น้ำและทะเลสาบ ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางสายฝน มังกรได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ในราชวงศ์ชิง กษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกร และบรรทมบนเตียงมังกร



กำเนิดมังกรจีน

ตาม ความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้น จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกร โดยชาวจีนจะเชื่อถือกันว่ามังกรนั้น เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนั้น มังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น ชาวจีนถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย

เนื่อง จากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ ผู้เป็นโอรสจุติมาจากสวรรค์ ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าหากผู้ที่ได้พบเห็นมังกร จะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองมาก ผู้ที่มีโอกาสจะได้ขี่หลังมังกรจะต้องเป็นคนมีศีล มีสัตย์ มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ถึงจะมีมังกรมารับไปเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์ ในสมัยโบราณนั้นชาวจีนได้มีการจัดทำ ตำรามังกร ขึ้นมา ซึ่งเป็นการรวบรวมในรายละเอียดส่วนของประวัติ เผ่าพันธุ์และลักษณะของมังกรไว้อย่างละเอียดที่สุด แต่เนื่องมาจากตำราเหล่านั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว การศึกษาเรื่องของมังกรจีนในปัจจุบัน จึงเป็นเพียงแค่การศึกษาจากหลักฐานต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวจีนเท่านั้น

ตาม ตำนานในสมัยโบราณของจีน มี เจ้าแม่นึ่งออ หรือ หนี่วา มีลักษณะลำตัวเป็นคน แต่หัวเป็นงู ซึ่งในบางตำราก็มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าว่ามีลำตัวตัวท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เมื่อเจ้าแม่นึ่งออสิ้นอายุไข นางได้ตายไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลับไม่เน่าเปื่อย และเมื่อมีคนลองเอามีดผ่าท้องของนางดู ก็ปรากฏมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งพุ่งออกมาแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป

ตาม ตำราดึกดำบรรพ์ของจีนกล่าวกันว่า มังกรจีนนั้น ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระเจ้าฟูฮี,ฟูซี หรือฟูยี (หรือเมื่อประมาณ 3,935 ปีก่อนพุทธกาล) มีตำนานกล่าวกันไว้ว่า มีมังกรอยู่ตัวหนึ่งเป็นเจ้าเหนือน่านน้ำทั้งปวงเป็นระยะเวลาหลายพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วมังกรตัวนั้นก็คือ พระเจ้าฟูฮี แปลงร่างนั่นเอง พระเจ้าฟูฮีนั้นป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ทรงคิดประดิษฐ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น “โป๊ย-ก่วย” หรือ ยันต์แปดทิศ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้กำหนดการที่ให้ชายหญิงมีการมั่นหมายกันเป็นคู่ครองอีก ด้วย

ใน หนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวกันไว้ว่า มังกรนั้นได้ถือกำเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอึ่งตี่ พระเจ้าอึ่งตี่, อึ้งตี่ หรือหวงตี้ ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ที่รวบรวมแผ่นดินจีนไว้เป็นผืนเดียวกัน โดยพระองค์ได้ทรงสร้างจินตนาการรูปมังกรขึ้นมา จากการรวมสัญลักษณ์ของเผ่าต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มังกรกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ว่าเผ่าต่าง ๆ ได้รวมกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อพระเจ้าอึ่งตี่สิ้นอายุไข ก็มีมังกรจากฟ้าลงมารับพระองค์และพระมเหสีขึ้นไปเป็นเซียนบนสวรรค์ โดยบางตำราได้กล่าวว่าพระองค์นั้นเป็นหวงตี้องค์เดียวกับที่ได้เป็นเจ้า สวรรค์ หรือเง็กเซียนฮ่องเต้ในเวลาต่อมา เพราะเหตุนี้ชาวจีนจึงถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเจ้าแห่ง สัตว์ทั้งปวง

ลักษณะของมังกรจีน

ลักษณะของมังกรจีนที่ เกิดจากจินตนาการคนจีนแทนลักษณะเฉพาะของมังกร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่ละอย่างแสดงถึงลักษณะของมังกรที่แตกต่างกัน ลักษณะของ มังกรจีนในงานด้านจิตกรรมประติมากรรมของจีน ซึ่งใช้ในเวลาและโอกาสที่ต่างกัน คือ

ลักษณะหัวของมังกร คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้าหรือหัววัวหรือหัวจระเข้

ลักษณะหนวดของมังกร คล้ายกับหนวดของมนุษย์

ลักษณะเขาของมังกร คล้ายกับเขาของกวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

ลักษณะตาของมังกร คล้ายกับตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจหรือตาของสิงโต

ลักษณะหูของมังกร คล้ายกับหูวัว แต่ไม่สามารถได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวางนั้น

ลักษณะคอของมังกร คล้ายกับคองู

ลักษณะท้องของมังกร คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์

ลักษณะเกล็ดของมังกร คล้าย กับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ โดยมังกรจะมีเกล็ดตลอดแนวสัน-หลัง จำนวน 81 เกล็ด มีเกล็ดตามลำคอจนถึงบนหัว บนหัวมังกรมีรูปลักษณะเหมือนสันเขาต่อกัน เป็นทอดๆ

ลักษณะกงเล็บของมังกร คล้ายกับกงเล็บของเหยี่ยว จำนวนเล็บของมังกรแต่ละตัวจะไม่เท่ากัน มังกรที่ยิ่งใหญ่จึงจะมี 5 เล็บ นอกนั้นก็จะเป็น 4 เล็บหรือ 3 เล็บ

ลักษณะฝ่าเท้าของมังกร คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ

ลักษณะของมังกรจีน สัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าที่จีนให้ความเคารพนับถือ ลักษณะของมังกรเกิดจากจินตนาการโดยการรวมเอาลักษณะของสัญลักษณ์เผ่าต่างๆมา รวมกัน มีความแตกต่างกันตามคติความเชื่อถือและการประดิษฐ์ของช่าง มีกาลเทศะและวาสนาแตกต่างกันไปตามความเชื่อของคตินิยมแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งว่ากันว่ามังกรของจีนนั้นมี 9 ท่า 9 สี คำว่า หลง ในภาษาจีนกลางหมายถึงมังกรที่มีลักษณะดังนี้

มังกรมีเขา หรือ หลง เป็นลักษณะของมังกรที่มีเขาเหมือนกับกวางดาว ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่มาจากฟากฟ้าแดนสวรรค์ มีอำนาจมากที่สุดสามารถทำให้เกิดฝนได้ และหูหนวกโดยสิ้นเชิง อินเดียนแดงถือว่ากวางเป็นสัตว์ที่เป็นอมตะนิรันด์กาล แต่คนไทยกลับนิยมกินเนื้อกวาง ซึ่งจะชำแหละเนื้อไว้กินและหนังจะส่งขายให้กับประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปทำเป็นซับในของเสื้อเกราะญี่ปุ่นซึ่งหนังกวางนั้นเป็นสินค้าส่งออก ที่มีความสำคัญของไทยมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

มังกรมีปีก หรือ หว่านซี่ฟ่าน เป็นมังกรฝรั่งที่สามารถพ่นไฟ ได้ คนฝรั่งนิยมที่จะนำมังกรมีปีกนี้มาประกอบฉากเป็นพาหนะของผู้ร้ายหรือเป็นตัว แทนของมังกรที่ดุร้าย แต่ในสมัยราชวงศ์หมิง คนจีนนำมังกรชนิดนี้มาทำเป็นลวดลายบนถ้วยข้าวต้ม

มังกรสวรรค์ หรือ เทียนหลง มีชื่อเรียกว่า มังกรฟ้า เป็น มังกรในหาดสวรรค์ บางครั้งก็จะเป็นพาหนะของเทพเจ้าเทวาในลัทธิเต๋า คนจีนมีความเชื่อกันว่า มังกรเทียนหลงนี้เป็นมังกรที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของ เทพเจ้าบนสรวงสรรค์ และเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของฮ่องเต้อีกด้วย

มังกรวิญญาณ เฉียนหลง หรือ หลีเฉี่ยวหลง เป็นมังกรที่บันดาลให้เกิดลมฝนเพื่อประโยชน์ต่อการเกษตรและมนุษยชาติของชาว จีน แต่โบราณ มังกรหลีเฉี่ยวหลงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของจักรราศีอีกด้วย

มังกรเฝ้าทรัพย์ หรือ ฟูแซง เป็นมังกรบาดาล มังกรฟูแซงนี้น่าจะเป็นคติของอินตู้หรืออินเดียมากกว่าของจีน ซึ่งชาว กรีก โบราณเองก็มีความเชื่อกันในเรื่อง “มังกรบาดาล” เช่นกัน ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรบาดาลนี้เป็นความเชื่อและคติที่เก่าแก่มาก

มังกรขด ไม่มีฝอย เป็นมังกร “หด” ธรรมดา

มังกรเหลือง เป็นมังกรจ้าปัญญา ทำหน้าที่คอยหาข้อมูลให้กับจักรพรรดิฟูใฉ่ที่เป็นตำนาน

มังกรบ้าน หรือ ลี่หลง เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรและในทะเล บางตำนานเรียกว่า ไซโอ๊ะ มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว มักอาศัยอยู่ในหนองน้ำใกล้ ๆ กับถ้ำที่มีอากาศอับชื้น

พญามังกร คือ มังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้งสี่ คือทะเล ตะวันออก(ตัง) ,ใต้(น้ำ) ,ตะวันตก(ไซ) และเหนือ(ปัก) พญามังกรอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา(วังใต้ทะเล) และกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุก

และ โอปอล เป็นอาหาร และพญามังกรทั้งสี่ตัวเป็นพี่น้องกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามังกร 4 ตัวนี้มีผู้ควบคุมชื่อ ฉิน แท็ง (Chien-Tang) เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟ และยาว 900 ฟุต

มี การบรรจุคำว่ามังกรลงในพจนานุกรมของประเทศจีน มีความหมายว่า “มังกรเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด มีลักษณะหัวคล้ายหัวอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายกับดวงตาของกระต่ายป่า หูของมันคล้ายหูวัว ปีกของมันคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบ รูปร่างของมันคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ เสียงของมันคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อมันหายใจ ลมหายใจของมันมีลักณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ”



2.มังกรเก่าแก่ตัวถัดมาเห็นจะได้แก่ มังกรในตำนานของชนสุเมเรียนแห่งนครบาบิโลน ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 2,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย

ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ อีอา (EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับ ติอาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย แถมยังม้วนหางของเธอขึ้นไป พาดไว้บนห้วงจักรวาลกลายเป็น ทางช้างเผือก (MILKY Way) ที่เราเห็นสว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าทุกวันนี้




3.มังกรตัวต่อมาปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิลของชนฮีบรู กล่าวคือเมื่อพระเจ้า (GOD) ทรงสร้างโลก ในวันที่ 5 พระองค์ได้เสกมังกรทะเลขึ้นมาชื่อว่า เลเวียธาน (LEVIA-THAN) เป็นอสุรสัตว์ ที่มีพละกำลังน่าเกรง ขาม อาวุธใดๆ ไม่อาจระคายเคืองร่างของมันได้ แม้ว่ามันอาจก่อความเดือดร้อนให้แก่ มนุษย์บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้เอาใจใส่กับมันเท่าใดนัก เพราะพระองค์ ตั้งพระทัยที่จะสังหารมันในวันสุดท้ายแห่งพิภพ (THE JUDGEMENT DAY)!

“ในวัน นั้น พระองค์จะทรงใช้ดาบอันมีศักดานุภาพยิ่งใหญ่ ลงทัณฑ์เจ้ามังกร ซึ่งพยายามหลีกลี้หนีไป และทรงประหารมันในห้วงมหาสมุทร” (จาก Isaiah 27 : 1)

เรื่อง ราวของมังกรในคริสตอาณาจักร ยังมีอีก คือในช่วงศตวรรษแรกหลังจากองค์เยซูสิ้นพระชนม์ ชาวคริสต์หลั่งไหลเข้าไปอยู่ในตะวันออกกลาง ตำนานความเชื่อโบราณหลายเรื่องเลือนหายไป แต่ “มังกร” ยังอยู่ ซึ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก โดยปรากฏในรูปของ”ปิศาจ (DEVIL)”

“ข้า เห็นเทวดาลงมาจากสวรรค์ ในหัตถ์มีกุญแจไขสู่หลุมลึกอันหยั่งไม่ถึง อีกหัตถ์หนึ่งมีโซ่เส้นมหึมา แล้วจับเจ้ามังกรปิศาจล่ามไว้ และทุ่มมันลงไปในหลุมนั้น” (Book of Revelation)

มังกร ในคัมภีร์ไบเบิลของฮีบรู ได้สร้างจินตนาการไว้ให้ชนยุโรปตะวันออกกลาง หลายหมู่บ้าน จนต่างก็มีตำนานมังกร ของตนเองขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่สามในประเทศลิเบีย

ตำนาน นี้กล่าวว่า ได้เกิดมีมังกรยักษ์ใจโหดขึ้นในอาณาจักรที่โรมันครอบครอง สร้างความทุกข์ร้อนแสนสาหัสแก่ชาวบ้าน โดยจะต้องจัดส่งลูกหลานไปสังเวยแก่มันเป็นประจำ กระทั่งถึงคราวของพระธิดาแห่งกษัตริย์ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของมัน

และแล้วทหารหาญหนุ่มน้อย คริสเตียนก็ได้ขี่ม้าขาวมาช่วย เขามีนามว่า จอร์จ (George) เมื่อ เผชิญหน้ากับเจ้ามังกรร้าย จอร์จได้ใช้หอกพุ่งเสียบร่าง ของมันจนสิ้นชีพ แล้วลากเอาซากมังกรกลับมา ให้ชาวบ้านได้ทัศนา ความเก่งกาจของจอร์จทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนใจ จากที่เคยศรัทธาในปวงเทพของโรมัน ก็หันกลับมานับถือคริสต์ศาสนากันหมด

ต่อมา เมื่อเกิดสงครามครูเสด เหล่าขุนศึกคริสเตียนที่ไปรบในตะวันออกกลาง ต่างได้รับอิทธิพลจากตำนานของจอร์จ พวกเขาจึงบังเกิดมีกำลังใจฮึกเหิม โดยถือว่าดวงวิญญาณของ จอร์จคงช่วยพิทักษ์ตน เมื่อเสร็จศึกกลับถึงบ้านในอังกฤษ จอร์จจึงได้รับการยกย่องขึ้นเป็นนักบุญเซนต์จอร์จ

ในยุค กลางของยุโรปนั้น บุรุษเพศต่างคลั่งไคล้ในการประพฤติตนเป็นอัศวิน คือจรม้าออกตระเวนผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ เพื่อสร้างวีรกรรม และวีรกรรมใดเล่าที่จะน่าประทับใจ ยิ่งกว่าการได้สังหารมังกรร้ายสักตัวนึง ใครที่เคยอ่านเรื่อง “ดอน กีโฮเต้” ของแชร์วอนเตส คงรู้ดีถึงความบ้าระหํ่านี้

“มังกรจะอาศัยอยู่ในถํ้า มันจะเหินร่อนไปบนนภากาศออกหากิน กรงเล็บของมันคืออาวุธ ประกอบกับอัคคี ที่พวยพุ่งจากปากและจมูกของมัน”




4.มังกรตัวสุดท้ายที่จะเล่าถึงมีชื่อว่า เควทซาลโคลท์ (QUETZALCOATL) อยู่ในตำนานของชนเผ่าแอสเท็กส์ (AZTECS) แห่งนครเตโอติฮัวคัน (คริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 8) ในดินแดนอเมริกากลางแถวๆ เม็กซิโก

มังกรของแอสเท็กส์นี่รูปร่างแปลกกว่าของชาติอื่น คือเป็นงูยักษ์ที่มีขน ชนแอสเท็กส์นับถือว่าเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์การเกษตร แต่การสักการบูชาเทพเจ้าของพวกเขานั้นหฤโหดยิ่ง คือสังเวยด้วยมนุษย์เป็นๆ ดังนั้นในแต่ละปี ชนชาตินี้จะทำศึกรุกรานชนเผ่าอื่น เพื่อนำเอาเชลยมาบูชายัญจัดเป็นยุคแห่งการนองเลือดโดยแท้ กระทั่งสุดท้าย ตำนานกล่าวว่า กลุ่มปีศาจได้จับเอามังกรเควทซาลโคลท์มอมเหล้าแล้วนำไปเก็บไว้ใต้สมุทร

ตำนานนี้เองที่ได้ก่อความหายนะ ให้กับชาวแอสเท็กส์ คือเมื่อชนผิวขาวชาวสเปน นำโดย เฮอร์นานโด คอร์เตส มาเยือนดินแดนแถบนี้ในช่วง ค.ศ.1519-21 กษัตริย์ มอนเตซูมา และชาวแอสเท็กส์ต่างก็เชื่อว่าคอร์เตส คือเทพเจ้ามังกร ผู้หวนกลับมาตามที่ตำนานได้ทำนายไว้ จึงยอมศิโรราบแก่กองทหารของคอร์เตส ทำให้สเปนทำทารุณกรรม และขนทรัพย์สินเงินทองมหาศาลของแอสเท็กส์ไป จนสิ้น